วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2550

Hitler

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ประวัติ และความเกี่ยวพันกับรถโฟล์ค คอลัมน์รู้ไปโม้ด โดยน้าชาติ ประชาชื่น
1.ประวัติของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เกิด 20 เม.ย. ปีค.ศ.1889 ที่เมืองเบราเนา ประเทศออสเตรีย ติดชายแดนเยอรมนี ทั้งพ่อ-อาลัวส์ และแม่คาร่า มาจากครอบครัวเกษตรกรที่ยากจน แต่พ่อเป็นคนฉลาดและทะเยอทะยาน จึงก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าหน้าที่ภาษี ช่วงที่มาแต่งงานกับแม่ อายุห่างกันถึง 23 ปี และมีลูกติดมา 2 คน ทำให้ฮิตเลอร์มีพี่น้องถึง 5 คน แต่โตขึ้นมาเหลือรอดอยู่ 2 คน คือฮิตเลอร์และน้องสาว พ่อฮิตเลอร์เป็นคนที่เข้มงวดมาก และนิยมใช้ความรุนแรงลงโทษหากลูกไม่เชื่อฟัง ฮิตเลอร์จึงเป็นเด็กเรียนดีในตอนต้น เพื่อนๆ ยกย่องให้เป็นผู้นำ ทั้งยังเคร่งศาสนา จนใครๆ คิดว่าโตขึ้นมาจะเป็นนักบวช แต่พอขึ้นเรียนชั้นสูงขึ้น วิชาต่างๆ ก็เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสอบไม่ได้ที่ 1 พ่อเริ่มเกรี้ยวกราด เพราะกลัวลูกจะเข้ารับราชการไม่ได้ ส่วนเพื่อนๆ ก็เริ่มไม่ปลื้มให้เป็นหัวหน้า ความกดดันต่างๆ ทำให้ฮิตเลอร์เบี่ยงไปสนใจการต่อสู้ ครูชั้นมัธยมฯ คนเดียวที่ฮิตเลอร์ชื่นชอบ คือลีโอโพลด์ พอตช์ ซึ่งเป็นคนนิยมความสำเร็จของเยอรมนี จึงมักเล่าถึงชัยชนะต่างๆ ของเยอรมันเหนือฝรั่งเศส ในศึกปีค.ศ.1870-1871 และต่อว่าออสเตรียว่าไม่ยอมเข้าร่วมกับเยอรมนี ฮิตเลอร์พาลชอบเยอรมันไปด้วย โดยมีออตโต วอน บิสมาร์ก นายกรัฐมนตรีของอาณาจักรเยอรมนี เป็นฮีโร่ในดวงใจ สำหรับวิชาที่ฮิตเลอร์สนใจมากอีกวิชาคือศิลปะ ซึ่งทำให้ทะเลาะรุนแรงกับพ่อ เพราะไม่เห็นด้วยเลยที่จะให้ลูกเป็นศิลปิน ศึกพ่อลูกสิ้นสุดลงในปีค.ศ.1903 เมื่อพ่อฮิตเลอร์
เสียชีวิต ตอนนั้นครอบครัวไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากทางการเงิน แต่ฮิตเลอร์ยังคงไม่รักเรียนเช่นเดิม จนแม่ยอมให้ออกจากโรงเรียน ต่อมาในช่วงอายุ 18 ปี ฮิตเลอร์ได้รับมรดกของพ่อ และใช้เงินเดินทางไปกรุงเวียนนา หวังว่าจะไปเรียนวิชาศิลปะที่นั่น ฮิตเลอร์คิดว่าตนเองมีความสามารถทางศิลปะที่เหนือชั้น แต่พอไปถึงจริงกลับถูกสถาบันวิชาการศิลปะเวียนนาปฏิเสธใบสมัคร จากนั้นจึงย้ายไปสมัครที่โรงเรียนสถาปัตยกรรม แต่ไม่ได้อีก เพราะไม่มีใบรับรองจากโรงเรียนเก่า ฮิตเลอร์อับอายมากที่ล้มเหลวเช่นนี้ จนไม่กล้าบอกความจริงกับแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แสร้งทำเป็นอยู่ในเวียนนาต่อไปว่าตนเองเป็นนักเรียนศิลปะ หลังจากฮิตเลอร์ย้ายจากเมืองเบราเนาไปกรุงเวียนนา และเข้าเรียนศิลปะอย่างที่ใจหวังไม่ได้ ก็ไม่กล้าบอกแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แสร้งทำเป็นว่าเป็นนักเรียนศิลปะอยู่ที่กรุงเวียนนาอย่างนั้น โดยใช้เงินบำนาญมรดกของพ่อดำรงชีวิตในเมืองหลวงอย่างสบาย วันๆ ก็นอนเล่นอ่านหนังสือ ตกบ่ายไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะ จนกระทั่งปีค.ศ.1907 แม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง การเสียชีวิตของแม่ทำให้ฮิตเลอร์เสียใจสุดซึ้ง เพราะรักแม่มากและมากกว่าพ่อ ตามประวัติศาสตร์ฮิตเลอร์ถือรูปแม่ไปทุกที่แม้กระทั่งวาระสุดท้ายรูปก็ยังอยู่ในมือ ในปีค.ศ.1909 ซึ่งเป็นปีที่ควรเกณฑ์ทหาร ฮิตเลอร์กลับไม่ยอมรับใช้กองทัพออสเตรียของตัวเอง เพราะแค้นอยู่ลึกๆ ที่สถาบันการศึกษาออสเตรียไม่เปิดโอกาสให้เรียน นอกจากนี้ยังชื่นชมอาณาจักรเยอรมนีที่เหนือกว่าออสเตรียมาตั้งแต่เด็ก จึงไปเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมนี ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารกล้าตาย สู้เลือดเดือด ช่วงเวลานี้ชีวิตของฮิตเลอร์มีทั้งขึ้นและลง หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ฮิตเลอร์ ย้ายไปอยู่มิวนิกและเริ่มชีวิตทางการเมือง ซึ่งล้มลุกคลุกคลานอยู่นาน จนกระทั่งปีค.ศ.1921 ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคนาซี มีนโยบายต่อต้านชาวยิวและผู้นิยมลัทธิสังคม
นิยม ในปี 1933 ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและหนึ่งปีถัดจากนั้นตั้งตนเป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบ สร้างกองทัพยึดคืนแคว้นไรน์ และในปี 1936 ร่วมมือกับเผด็จการมุสโสลินีของอิตาลีบุกยึดออสเตรีย ชาติเกิดของตนเอง ตามด้วยเชโกสโลวะเกีย สำหรับเชโกฯ นั้นบุกยากกว่าออสเตรีย เพราะมีฝรั่งเศสเป็นพันธมิตร ทางด้านอังกฤษจึงเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยแบ่งพื้นที่บางส่วนของเชโกฯ ให้เยอรมัน แต่ภายหลังถูกฮิตเลอร์หักหลังเข้ายึดทั้งประเทศ ทำให้อังกฤษอับอายมาก ด้วยความที่ได้คืบจะเอาศอก ฮิตเลอร์ลุยต่อไปที่โปแลนด์ คราวนี้อังกฤษกับฝรั่งเศสไม่ยอมอีกแล้ว วันที่ 3 ก.ย.1939 จึงประกาศสงครามโลกครั้งที่ 2 กับเยอรมัน ฝ่ายพันธมิตรและอักษะสู้รบกันอยู่นานถึงปี 1945 ฝ่ายอักษะพ่ายแพ้ ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายพร้อมหญิงคนรัก อีวา วันที่ 30 เม.ย. ปีค.ศ.1945 สำหรับความเกี่ยวข้องกับรถเต่าโฟล์กสวาเก้น เว็บไซต์ http://www.hitler.org/artifacts/volkswagen/ บันทึกไว้ว่า ในฤดูร้อนปีค.ศ.1932 ฮิตเลอร์วาดร่างออกแบบรถขึ้นมา ระหว่างนั่งอยู่ในร้านอาหารที่เมืองมิวนิก เพราะอยากให้ผู้คนมีรถยนต์ขับขี่ โดยคำว่าโฟล์กสวาเก้นมีความหมายว่า "รถของประชาชน" จากนั้นมอบหมายให้นายจาค็อบ แวร์ลิน หัวหน้าบริษัทเดมเลอร์-เบนซ์ ไปคิดหาหนทาง ส่วนอีกประวัติจากเว็บไซต์ http://people.westminstercollege.edu/staff/bknorr/html/history2.htm ระบุว่า ฮิตเลอร์มอบหมายให้นายเฟอร์ดินันด์ พอร์สช์ ไปคิดประดิษฐ์รถยนต์ขนาดเล็กสำหรับ 5 คนโดยสาร วิ่งได้เร็ว 62 ไมล์ต่อชั่วโมง นายพอร์สช์คิดค้นและผลิตรถขึ้นมาหลายรุ่นหลายปี จนกระทั่งลงตัวที่รุ่น V38s แต่ฮิต
เลอร์ให้ใช้ชื่อว่า KdF Wagen มาจากคำว่า Kraft durch Freude หมายถึงพลังจากรถยนต์ที่อภิรมย์ ทำให้นายพอร์สช์ผิดหวังมาก และด้วยความที่นายพอร์สช์ไม่ได้เป็นสมาชิกนาซี จึงไม่เคยเอ่ยอ้างชื่อฮิตเลอร์มาโฆษณา โฟล์กสวาเก้นเป็นรถที่มียอดผลิตสูงที่สุดในโลก เผยโฉมบนท้องถนนครั้งแรกเมื่อปีค.ศ.1938 หรือพ.ศ.2481 ปัจจุบันมียอดผลิตมากกว่า 21 ล้านคัน ประวัติฮิตเลอร์เพิ่มเติม อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ปีค.ศ.1880-1945 เกิดที่ออสเตรียแล้วย้ายมาอยู่เยอรมนี ได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซีในปี 1921 เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 1933 และผู้นำแห่งรัฐในปี 1934 เริ่มแผลงฤทธิ์ด้วยการผูกมิตรกับมุสโสลินี ผู้นำเผด็จการอิตาลีในปี 1936 จากนั้นก็รุกรานแผ่นดินอื่น ไม่ว่าออสเตรีย เชกโกฯ โปแลนด์ จนถึงขั้นประกาศสงครามกับอังกฤษและฝรั่งเศส ขณะเดียวกันในสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ฮิตเลอร์โยนบาปให้ชาวยิวว่าเป็นผู้ที่มาเอาเปรียบคนเยอรมัน จึงเผยแพร่ลัทธิเกลียดคนยิว และสั่งฆ่าชาวยิวหลายสิบล้านคน ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษและฝรั่งเศสมีทีท่าว่าจะไปไม่รอด อเมริกาก็กระโดดลงมาช่วยเหลือและก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ทหารอเมริกันไม่เคยรู้ฤทธิ์ทหารเยอรมัน ก็เลยสู้แหลกแบบไม่กลัว จนปี 1945 ฝ่ายพันธมิตรก็ชนะสงคราม ซึ่งในช่วงที่เบอร์ลินแตก ฮิตเลอร์ก็ฆ่าตัวตาย สำหรับ สวัสติกะ Swastika เป็นเครื่องหมายที่รู้จักไปทั่วโลกว่าเป็นสัญลักษณ์ของเผด็จการนาซีเยอรมัน แต่จริงๆแล้ว สวัสติกะ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาซีเลย เพียงแต่เป็นเครื่องหมายที่เผด็จการ “ฮิตเลอร์” ละเมิดลิขสิทธิ์คนอื่นมาใช้ สวัสติกะ มาจากภาษาสันสกฤต มีความหมายว่า โชคดี ประวัติศาสตร์ของหลายๆประเทศในรูปแบบต่างๆกัน และมีความหมายต่างๆกัน เช่น อินเดีย จีน ใช้สัญลักษณ์นี้
แสดงถึงความโชคดี ร่ำรวย และอายุยืน ในถ้ำโบราณของจีน นักโบราณคดีพบว่าสวัสติกะยังเป็นสัญลักษณ์ภาพเคลื่อนไหวของดาวหางที่เคลื่อนไหวในลักษณะพัด (อย่างดาวหางเฮลบอพพ์) รวมไปถึงสัญลักษณ์หยิน-หยางอีกด้วย นอกจากนี้สวัสติกะยังมีความหมายว่า “กงล้อแห่งชีวิต” หรือ “กงล้อแห่งพระอาทิตย์” บางทีก็ดูเหมือนรูปวาดคน ส่วนผู้ที่ออกแบบเครื่องหมายนี้ให้ฮิตเลอร์ก็คือ ดร.เฟรเดอริค โครห์น ซึ่งเดิมวาดให้เครื่องหมายหมุนไปทางขวา แต่ฮิตเลอร์ไม่ชอบใจเลยหมุนให้ไปทางซ้ายแทน สาเหตุที่ฮิตเลอร์นำสัญลักษณ์มาใช้ในการขยายลัทธิ เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามสร้างภาพสไตล์จอมลวงโลกทั้งหลาย สวัสติกะจึงถูกใช้ไปเป็นเครื่องหมายของพรรคนาซี (NSDAP) เรียกหาความรักชาติสุดกู่ ความจงรักภักดีต่อกองทัพ การตัดสิน การลงโทษ และสื่อถึงความตาย การทำลายล้าง การห่างจากพระเจ้าและการเกลียดชัง เคยได้ยินรุ่นพี่บอกว่า ฮิตเลอร์ในตอนเด็กๆ ชอบศิลปะ เหตุใดจึงเป็นผู้นำเผด็จการ ฮิตเลอร์ ผู้นำโด่งดังในด้านลบไม่เคยตก มีชีวิตอยู่ช่วง ค.ศ.1933-45 และกลายเป็นสัญลักษณ์ของเผด็จการและผู้นิยมสงครามมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าติดตามข่าวเร็วๆ นี้ จะเห็นได้ว่า กลุ่มผู้ต่อต้านสงครามวาดภาพล้อผู้นำชาติมหาอำนาจที่ต้องการยกทัพไปถล่มอิรักว่าเป็นฮิตเลอร์กันหมด ในปี ค.ศ.1900 ฮิตเลอร์ ในฐานะพลเมืองของออสเตรีย เริ่มแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถทางศิลปะ พ่อจึงสั่งให้ไปเรียนที่โรงเรียนเรอาลชูล เพราะมีวิชาวาดรูป แต่พอเข้าเรียนจริงๆ กลับไม่ได้ดีเท่าไหร่ จากนั้น 3 ปีพ่อตายลง และฮิตเลอร์เองก็ป่วยด้วยโรคปอดติดเชื้อ ด้วยความที่เจ็บป่วยบ่อยและการบ้านก็ได้คะแนนไม่ดี ฮิตเลอร์จึงลาออกมาจากโรงเรียนเมื่ออายุ 16 ปี จุดหักเหสำคัญในด้านการเรียนศิลปะ ก็คือโรงเรียนศิลปะชั้นสูงในกรุงเวียนนาไม่ยอมรับฮิตเลอร์เข้าเรียน ทั้งๆ ที่ฮิตเลอร์มั่นใจมากว่าจะต้องได้เรียนที่นี่ ช่วงจิตใจย่ำแย่นี้
ยังได้รับข่าวร้ายอีก เมื่อแม่ยังป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม โดยแพทย์ที่มารักษาเป็นหมอชาวยิวที่รักษาคนจน แต่การที่หมอใช้ยาแรงรักษาแม่ ทำให้นางตายเร็วยิ่งขึ้น และจากไปในปี ค.ศ.1907 เป็นเรื่องที่ฮิตเลอร์เจ็บแค้นอยู่ในใจ ฮิตเลอร์ใช้ชีวิตไร้เป้าหมายอยู่ในเวียนนา 6 ปีหลังจากนั้น โดยไม่ทำงาน อาศัยเงินบำนาญของพ่ออยู่ไปวันๆ บางวันก็ออกไปดูผลงานศิลปะ บางวันก็ไปหลับอยู่ในบาร์ ไปอาศัยอยู่ที่พักของคนเร่ร่อน ซึ่งเป็นของชาวยิว ทั้งยังมีเพื่อนในวงการศิลปะและความบันเทิงเป็นชาวยิวที่เป็นใหญ่เป็นโต ทำให้ฮิตเลอร์อิจฉาคับแค้นใจขึ้นไปทีละน้อย ในปี ค.ศ.1913 ฮิตเลอร์พยายามหนีทหาร จึงย้ายจากเวียนนาของออสเตรียไปเมืองมิวนิกในเยอรมนี แต่ก็หนีไม่พ้นถูกจับจนได้ สุดท้ายลงเอยแบบรอดตัว เมื่อตรวจร่างกายแล้ว พบว่าฮิตเลอร์ร่างกายอ่อนแอเกินไปที่จะรับใช้กองทัพ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้ฮิตเลอร์ไม่พอใจชาติออสเตรียของตนเอง และหันไปนิยมเยอรมนีแทน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ฮิตเลอร์จึงสมัครเป็นทหารรับใช้กองทัพเยอรมนี แม้จะล้มลุกคลุกคลานบ้างในบางเหตุการณ์ แต่ฮิตเลอร์ก็เป็นใหญ่ในเยอรมนีในที่สุด

แสนยานุภาพกองทัพนาซีเยอรมัน





แสนยานุภาพของกองทัพนาซีเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่สอง ได้รับการยอมรับว่า เป็นแสนยานุภาพที่เข้มแข็งที่สุดแสนยานุภาพหนึ่งในโลกขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกำลังทหารที่มีระเบียบวินัย มีความเป็นผู้นำสูง หรือกำลังยานเกราะต่างๆ ที่ได้รับออกแบบ ให้เป็นเครื่องจักรสงครามที่ทรงประสิทธิภาพ ตลอดจนอาวุธต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นต้นแบบของอาวุธปืนในยุคปัจจุบัน ดังนั้น การศึกษาเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง โดยปราศจากการศึกษาเกี่ยวกับแสนยานุภาพของกองทัพนาซี จะทำให้การค้นคว้าขาดส่วนประกอบที่สำคัญของสงครามไปอย่างน่าเสียดาย

ประวัติสงครามโลกยุค nazi



สงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติลงในปี 1918 ด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมัน ฝ่ายพันธมิตรในขณะนั้นประกอบด้วย อิตาลี ฝรั่งเศส อังกฤษและสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกันร่างสนธิสัญญาแวร์ซาย (the Varsailles treaty) เพื่อจำกัดสิทธิของเยอรมัน ในอันที่จะเป็นภัยคุกคามอีกครั้ง สนธิสัญญาแวร์ซายลงนามในวันที่ 28 มิ.ย. 1919 ส่งผลให้กองทัพเยอรมันถูกจำกัดขนาดให้เล็กลง ดินแดนต่างๆ ถูกริบ หรือยึดครอง ดังที่ปรากฏในแผนที่ข้างบน อาทิ ฝรั่งเศสเข้าครอบครองอัลซาส ลอเรนน์ (Alsace-Lorranine) เบลเยี่ยมยึดอูเปนและมาลเมดี (Eupen, Malmedy) โปแลนด์เข้าครอง Posen และปรัสเซียตะวันออกบางส่วน ดานซิก (Danzig) กลายเป็นรัฐอิสระ ฝรั่งเศสเข้าควบคุมเหมืองถ่านหินในแคว้นซาร์ (Saar) แลกกับการที่เยอรมันทำลายเหมืองถ่านหินของตน ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไรน์ กลายเป็นเขตปลอดทหาร (Demilitarized) และยึดครองโดยฝ่ายพันธมิตรลึกเข้าไป 30 ไมล์ นอกจากนี้เยอรมันยังต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามเป็นเงินอีก 6,600 ล้านปอนด์
ในเดือนมกราคม 1933 อดอฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำพรรคนาซี ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง Chancellor ของประเทศเยอรมัน และเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศในที่สุด (Fuhrer) ในปี 1935 ฮิตเลอร์ได้เริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังตกต่ำอย่างรวดเร็ว และในวันที่ 16 มีนาคม 1935 ฮิตเลอร์ก็ประกาศเสริมสร้างกองทัพเยอรมันขึ้นใหม่ ซึ่งเท่ากับเป็นการฉีกสนธิสัญญาแวร์ซาย แต่เนื่องจากนโยบายต่างประเทศของเขา ที่พยายามแสดงให้พันธมิตรเห็นว่า เขาไม่ใช่ภัยคุกคามต่อพันธมิตร และเป็นผู้ที่ต้องการสันติภาพเช่นเดียวกับอังกฤษและฝรั่งเศส เพียงแต่ต้องการฟื้นฟูประเทศเยอรมันที่ตกต่ำเท่านั้น ทำให้พันธมิตรนิ่งเฉยต่อการดำเนนิการของฮิตเลอร์ และแล้วในเดือนมีนาคม 1936 เขาก็ส่งทหารกลับเข้าไปยึดครองแคว้นไรน์ ที่ตามสนธิสัญญาแวร์ซายกำหนดให้เป็นเขตปลอดทหาร พร้อมๆกับส่งทหารเยอรมันเข้าสนับสนุน กองกำลังชาตินิยมของนายพลฟรังโก ในสงครามกลางเมืองในสเปน และลงนามเป็นพันธมิตรกับมุสโสลินีของอิตาลี เดือนมีนาคม 1938 ผนวกออสเตรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดอาณาจักรใหม่ของเยอรมัน นั่นคือ อาณาจักรไรซ์ที่สาม (the Third Reich - new German Empire) จากนั้นก็เข้ายึดครองตอนเหนือของเชคโกลโลวะเกียในเดือนกันยายน 1938 และยึดครองทั้งประเทศใน มีนาคม 1939 พร้อมๆกันนั้นฮิตเลอร์ก็เข้ายึดคองเมืองท่าเมเมล (Memel) ของลิธัวเนีย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายเยอรมัน จากนั้นก็ยึดดานซิกและส่วนที่แบ่งแยกเยอรมัน กับปรัสเซียตะวันออกของโปแลนด์

รุ่งอรุณของวันที่ 1 กันยายน 1939 เครื่องบินของกองทัพอากาศเยอรมัน หรือลุฟวาฟ (Luftwaffe) ก็เริ่มต้นการทิ้งระเบิดถล่มจุดยุทธศาสตร์ในประเทศโปแลนด์ พร้อมๆกับกำลังรถถังและทหารราบ ก็เคลื่อนกำลังผ่านชายแดนโปแลนด์เข้าไปอย่างรวดเร็ว เป็นครั้งแรกที่โลกได้เห็นสงครามสายฟ้าแลบ (Blitzkeieg) ที่ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดนำ ตามด้วยยานเกราะและทหารราบ เข้าบดขยี้หน่วยทหารโปแลนด์ที่เสียขวัญ จากการทิ้งระเบิดของเครื่องบิน วันที่ 2 กันยายน อังกฤษและฝรั่งเศส ในฐานะประเทศพันธมิตรของโปแลนด์ ยื่นคำขาดต่อฝ่ายเยอรมัน ให้ถอนทหารออกจากโปแลนด์ แต่ฮิตเลอร์ปฏิเสธ วันที่ 3 กันยายน 1939 ฝรั่งเศสและอังกฤษ ประกาศสงครามกับเยอรมัน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง และต่อจากนี้ไป โลกจะนองไปด้วยเลือดและน้ำตา อีกเป็นเวลากว่า 5 ปี